เชื่อว่าทุกคนได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและโลกรวนกันทั้งนั้น และวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมนี้ เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันแก้ไข เพราะก็ต่างเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยเช่นกัน สำหรับประเทศไทย ภาคการเกษตรมีการปล่อยก๊าชเรือนกระจกคิดเป็นร้อยละ 15.69 แม้ว่าเปอร์เซ็นต์อาจจะดูไม่สูงมากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดกับภาคการเกษตรอันมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อนนั้น เรียกได้ว่าเกิดผลกระทบมหาศาล และกลุ่มเกษตรกรก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
ปัจจุบันประชากร 12 ล้านคนในประเทศไทยทำงานภาคเกษตรกรรม และพื้นที่ของประเทศไทยราว ๆ 46.54% ใช้ทำการเกษตร ซึ่งการทำการเกษตรนั้นต้องพึ่งพาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก หากเกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม พื้นที่ทำการเกษตรก็เสียหาย ไม่มีผลผลิตหรือได้ผลผลิตน้อย หากอากาศร้อนเกินไปก็อาจทำให้พืชตายได้ รวมถึง ปลา ปู และสัตว์ทะเลมีเปลือกตาย ในด้านปศุสัตว์ก็ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ การเติบโต และการเพาะพันธุ์เพราะความร้อนเพิ่มขึ้นส่งผลให้หมูเจริญพันธุ์น้อยลง ไก่เสี่ยงต่อการติดโรค หรือแม้แต่ลูกวัวก็ตายจากอากาศที่ร้อนขึ้นได้เช่นกัน
และเมื่อมีผลผลิตทางการเกษตรน้อยลง ก็อาจเกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารได้ เพราะผลิตไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรและเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร มาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราจะลดการทำการเกษตรได้อย่างไร เพราะมนุษย์เราก็ต้องกินอาหารอยู่ทุกวัน ความจริงแล้ว หากเปลี่ยนจากการทำการเกษรแบบอุตสาหกรรมมาเป็นการทำการเกษตรแบบยั่งยืน ก็อาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
เกษตรแบบอุตสาหกรรม: ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
ระบบเกษตรอุตสาหกรรมนั้นสามารถผลิตอาหารได้จำนวนมหาศาล มีการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ และมีการใช้สารเคมีจำนวนมาก สิ่งที่ต้องแลกก็คือ ความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อมและการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ต้องมีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำพื้นที่เพาะปลูก เกิดการทำลายหน้าดิน ทำให้ดินเสื่อมสภาพ ขาดสารอาหาร หรือปนเปื้อนด้วยสารเคมี ทั้งนี้ สารเคมีที่ใช้ในการเกษตร เช่น ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงก็ไหลลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดการปนเปื้อนและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ สัตว์น้ำ และสุขภาพของมนุษย์ได้
นอกจากนี้ ยังเกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะการใช้พื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่และการใช้สารเคมีทำให้พืชพรรณและสัตว์พื้นเมืองลดลงหรือสูญพันธุ์ไป เนื่องจากขาดแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัย และที่สำคัญคือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากการผลิตปุ๋ยและการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากเครื่องจักรทำให้เกิดมีเทนและไนตรัสออกไซด์ รวมถึงการเผาไร่เพื่อเตรียมเพาะปลูกใหม่ ที่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก และเกิดฝุ่นควันในชั้นบรรยากาศอีกด้วย
ทางออกอย่างยั่งยืน: ฟาร์มเกษตรอินทรีย์และการค้าขายของเกษตรกรท้องถิ่น
ถ้าหากยังมีการทำการเกษตรแบบอุตสาหกรรมต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคตเราคงต้องเผชิญกับวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ ภาคส่วน รวมถึงเรื่องปากท้องของมนุษย์เรา เพราะอาจเกิดการขาดแคลนอาหารเนื่องจากไม่สามารถเพาะปลูกหรือทำการเกษตรได้ในที่สุด ดังนั้นแล้ว การปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตอาหารจากเดิมที่ทำแบบอุตสาหกรรมและใช้สารเคมี เปลี่ยนมาเป็นการทำการเกษตรแบบธรรมชาติ ปลอดสารเคมี และกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ก็อาจแก้ไขสถานการณ์จากรุนแรงให้เป็นเบาได้ การทำการเกษตรแบบธรรมชาติหรือการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ หมายถึงการทำแบบออร์แกนิกที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินกันนั่นเอง
อีกแนวทางหนึ่งที่เราในฐานะผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือ การสนับสนุนฟาร์มเกษตรในท้องถิ่นที่ทำการเกษรเพื่อบริโภคในชุมชน และควรเป็นฟาร์มที่ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศ ปลอดสารเคมีและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือเราอาจอุดหนุนร้านค้าที่นำเอาผลผลิตทางการเกษตรแบบอินทรีย์และอยู่ในชุมชนมาจำหน่าย และเลือกร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบออร์แกนิก มาจากธรรมชาติ มาจากพื้นที่ในชุมชน หรือเป็นร้านมังสวิรัติแบบโลคอล เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่เกิดจากการขนส่งสิ้นค้าต่างพื้นที่ พร้อมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ทำฟาร์มอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคไปพร้อม ๆ กัน
แม้ดูเหมือนว่าการทำการเกษตรอาจเป็นภาพที่ใหญ่และไกลเกินตัวเรา แต่ผลผลิตทางการเกษตรนั้นเป็นสิ่งที่เราและคนในบ้านกินกันอยู่ทุกวัน เราจึงเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงและเป็นแรงสนับสนุนได้ด้วยเช่นกัน เริ่มจากการเลือกกินอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละมื้อให้มากขึ้นกันค่ะ
ขอบคุณที่มาข้อมูลบางส่วนจาก UNDP Thailand: รายงาน NC4 เผยสถิติ เมื่อโลกร้อนและรวน อากาศแปรปรวนกระทบทุกภาคส่วนของประเทศไทย / เมื่อโลกร้อนและรวน ภาคส่วนใดปล่อยก๊าชเรือนกระจกสูงสุด และ จากศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน บทความ sustainable Agriculture – เกษตรกรรมยั่งยืน





