วิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นวาระเร่งด่วนระดับสากล เพราะไม่ว่าใครก็ต่างได้รับผลกระทบทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยเรามีเป้าหมายในระดับชาติก็คือ การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 มาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนอาจมองว่าเป็นไกลตัวและเป็นนโยบายระดับชาติอันเป็นหน้าที่ของรัฐ หรือองค์กรใหญ่ ๆ ในประเทศ แต่ทราบหรือไม่ว่า เราทุกคนมีส่วนช่วยโลกของเราได้ และเริ่มได้ง่าย ๆ จากการกิน
การลดขยะจากอาหารนั้น สามารถช่วยลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยคาร์บอนได้ นั่นก็เพราะว่า เมื่อมีขยะอาหารเกิดขึ้น และถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ จะเกิดกระบวนการย่อยสลายโดยแบคทีเรีย และปล่อยก๊าซมีเทนออกมา (ก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่ง) และถ้ามีขยะอาหารในปริมาณมาก ก็ยิ่งมีการปล่อยก๊าซมีเทนมาก และอีกประการหนึ่ง การผลิตอาหารเพื่อรองรับความต้องการในการบริโภคเป็นจำนวนมากก็ต้องใช้ทั้งพลังงาน และทรัพยากรเป็นจำนวนมาก
การทิ้งอาหารเท่ากับการสูญเสียทรัพยากรเหล่านี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงการขนส่งอาหารก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเช่นกัน ทำให้เกิดผลกระทบแบบวนลูป เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น สภาวะอากาศแปรปรวน เกิดภัยธรรมชาติบ่อยขึ้น และส่งผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง มีปัญหาเรื่องการเพาะปลูก และทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารได้ ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะว่าการทิ้งขว้างอาหารโดยเปล่าประโยชน์นั้น จะนำมาสู่วิกฤตการขาดแคลนอาหาร และเกิดความอดอยากได้ในที่สุด
แล้วขยะอาหารเหล่านี้มาจากไหน?
ขยะอาหาร หรือ Food Waste นั้น เป็นอาหารที่เหลือทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เหลือจากการรับประทาน เปลือกผลไม้ เศษผักผลที่ใช้ตกแต่งจานหรืออาหารที่เน่าเสียจนไม่สามารถนำมาบริโภคได้อีกต่อไป รวมถึงอาหารที่หมดอายุจากการจัดการที่ไม่เหมาะสม และการทิ้งอาหารที่สามารถบริโภคได้เพียงเพราะว่ารูปร่างหน้าตาไม่สวยงาม ไม่ได้มาตรฐาน แต่ยังคงมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือเรียกกันว่า ‘Ugly Food’ นั่นเอง ซึ่งอาหารจำพวกนี้ กลายเป็นขยะอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างน่าเสียดาย องค์การอาหารโลกประเมินว่าทั่วโลกผลิตขยะอาหารอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ จากอาหารทั้งหมด สำหรับในประเทศไทยมีการสร้างขยะมูลฝอยเฉลี่ยคนละ 1.3 กิโลกรัมต่อวัน โดยที่ร้อยละ 64 ของขยะทั้งหมดเป็นขยะอาหาร
ทราบหรือไม่ว่า 1 ใน 3 ของอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน ถูกทิ้งทั้งที่ยังกินได้ (ข้อมูลจาก “Food Wastage Footprint: Impacts on Natural Resources” โดย องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ UNFAO ) ซึ่งนั่นรวมถึงอาหารเหลือจากการกินไม่หมด และอาหารประเภท Ugly Food ที่รูปร่างหน้าตาไม่น่าซื้อมารับประทาน แต่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เช่น ผักที่มีรูเจาะตามใบ มันฝรั่ง หัวไชเท้า หรือแครอทที่รูปร่างไม่สวยงาม หรือกล้วยที่เริ่มมีรอยดำด่างที่เปลือก ซึ่งถ้าอาหารเหล่านี้อยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือในตลาด คนก็มักจะไม่เลือก และสุดท้ายก็ต้องทิ้งไป แต่ถ้าเรามองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่สวยงามและคำนึงถึงคุณประโยชน์เป็นหลัก ทั้งในด้านสารอาหาร และสิ่งแวดล้อม การเลือกบริโภคอาหารที่ไม่สวยงาม ก็อาจช่วยรักษาความงดงามของโลกใบนี้ได้ยาวนานมากขึ้น
จะแก้ปัญหา Food Waste ได้อย่างไร?
อันดับแรก เราต้องตระหนักก่อนว่า การกินของเรานั้นส่งผลกระทบต่อโลกของเราจริง และการกินของเราก็สามารถช่วยโลกได้เช่นเดียวกัน เริ่มจากวิธีที่ง่ายที่สุดคือ กินข้าวให้หมดจาน หรือตักมาแต่พอดี ไม่สั่งอาหารเยอะเกินความต้องการ หากทำอาหารในบ้าน ก็ทำในปริมาณที่พอกิน ไม่เหลือทิ้ง มีวิธีการจัดการวัตถุดิบอย่างคุ้มค่า และวางแผนการซื้อของเข้าบ้าน โดยซื้อวัตถุดิบในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ซื้อมากเกินไปจนเกินความต้องการ สุดท้ายก็ทิ้งไว้จนเน่าเสีย และถ้าเป็นอาหารที่มีรูปร่างหน้าตาไม่สวยงามแต่ยังกินได้ ก็อาจจะเอามาแปรรูปหรือนำมาประกอบอาหารเป็นเมนูต่าง ๆ โดยยึดหลัก “ไม่เหลือทิ้ง – ทิ้งให้น้อยที่สุด” ทั้งนี้ อาหารที่ไม่สวยงาม อาจแสดงถึงการปลูกแบบธรรมชาติ หรือมาจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมี ไม่มีการตัดแต่งพืชผล นั่นหมายความว่า เราได้บริโภคพืชพรรณที่มีคุณประโยชน์มากล้น ช่วยลดขยะ และยังสนับสนุนวิถีการเกษตรอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ช่วยโลกได้ง่าย ๆ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิถีการกินของเรา มื้อหน้า จะลองเลือกเมนู Plant-based กินข้าวให้หมดจาน และอย่าทิ้งอาหารที่กินได้ไปโดยเปล่าประโยชน์นะคะ
ขอบคุณที่มาข้อมูลบางส่วนจาก UNDPThailand : เมื่อโลกร้อนใคร ๆ ก็รู้ แต่ประเทศไทยทำอะไรอยู่เพื่อแก้ไขปัญหา? ชวนจับตาดูแผนงานระดับชาติ! และ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทำไมเราต้องจริงจังกับการกินอาหารเหลือ เพราะขยะอาหารคือตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น





