ปัญหาขยะพลาสติกเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยมีผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศ สังคม และเศรษฐกิจของประเทศ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) เผยว่า ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาพบว่า 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลกเลยทีเดียว อันเนื่องมาจากการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันในทุก ๆ วันก่อให้เกิดขยะพลาสติกมหาศาล และถ้าหากนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นขยะพลาสติกที่ทิ้งลงสู่ทะเล แม่น้ำลำคลอง หรือในธรรมชาติ
ผลกระทบจากปัญหาขยะพลาสติกนั้นก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางทะเลที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและระบบนิเวศทางทะเล เกิดมลพิษทางดิน ที่ทำให้ดินเสื่อมโทรมและส่งผลกระทบต่อพืชพรรณ หรือก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เพราะสารเคมีจากพลาสติกและไมโครพลาสติกอาจปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากกระบวนการผลิตและการเผาไหม้พลาสติกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เลือกสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ช้อปในตลาดสด ลดการใช้พลาสิกไปในตัว
แน่นอนว่าเรามีการรณรงค์ลดใช้พลาสติกมาสักระยะแล้ว ทั้งลดใช้ถุงพลาสติก แก้วพลาสติก จานชามพลาสติก หลอดพลาสติก และอื่น ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การกิน” ของเรานั้นสร้างขยะพลาสติกในปริมาณมาก ทั้งการเลือกซื้ออาหารที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นถุงแกง ถาดโฟม กล่องพลาสติก พลาสติกห่อผักผลไม้ จะดีกว่าไหมถ้าเราลองมองหาสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติและย่อยสลายได้ เช่น ผักห่อใบตองแทนการห่อพลาสติก หรือห่อด้วยกระดาษ หรือบรรจุภัณฑ์จากไม้ไผ่สาน เป็นต้น
การเลือกซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์แบบนี้ ก็เท่ากับว่าเราสนับสนุนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลาสติกไปโดยปริยาย เมื่อผู้ผลิตเห็นว่าลูกค้าสนับสนุนและซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับธรรมชาติ ก็อาจปรับเปลี่ยนมาเป็นบรรจุภัณฑ์ที่รักษ์โลกมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีในกลุ่มธุรกิจอาหารและวัตถุดิบ และนำมาสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากการเลือกซื้อวัตถุดิบที่บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว เราอาจปรับพฤติกรรมในการซื้อของโดยการไปซื้อวัตถุดิบในตลาดสดแทนไปซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะวัตถุดิบอย่างผักผลไม้ในซูเปอร์ฯ นั้น มักถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกหรือมีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นโฟมและพลาสติก ต่างจากการเลือกซื้อผักผลไม้ในตลาดที่วางขายกันเป็นมัด ๆ หรือเป็นกอง ๆ โดยไม่มีพลาสติกห่อหุ้ม และสามารถเลือกหยิบได้เอง การที่เราหยิบผักผลไม้ใส่ตะกร้าหรือใส่ถุงผ้าตัวเอง (อย่าลืมบอกแม่ค้าว่าไม่เอาใส่ถุงพลาสติกนะคะ) ก็เท่ากับว่าเราลดการใช้พลาสติกไปโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ เราควรวางแผนการซื้อวัตถุดิบเข้าบ้านแต่ละครั้งด้วยว่า จะต้องซื้ออะไรบ้าง เป็นของสดหรือเปล่า สามารถนำกล่องอาหาร ตะกร้า หรือถุงผ้าไปใส่แทนการใส่ถุงพลาสติกได้หรือไม่ เป็นต้น
แนวคิด “กล่องสุ่มผัก – รับซื้อผักในชุมชน” แก้ปัญหาได้หลายด้าน
อีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การสร้างเครือข่ายกับกลุ่มเกษตรกรในชุมชนที่มีการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ให้ส่งผลผลิตจากฟาร์มเป็นรายสัปดาห์ไปตามบ้าน ตามโรงเรียน หรือตามองค์กร เป็นต้น หรืออาจเป็น “กล่องสุ่มผัก” โดยในกล่องนั้นจะมีผลผลิตพืชพรรณนานาชนิดที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย และสามารถบริโภคได้ทั้งสัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้สามารถลดปัญหาได้หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของขยะบรรจุภัณฑ์ เพราะไม่ต้องมีบรรจุภัณฑ์ใด ๆ แต่เป็นการเก็บผลผลิตสด ๆ มาใส่กล่องและส่งตรงถึงบ้าน และยังสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของการขนส่งอาหารระยะไกล การทิ้งผลผลิตที่ขายไม่ได้และกลายเป็นขยะอาหาร ทำให้เกษตรกรมีรายได้ ผู้บริโภคก็ได้กินของดีมีประโยชน์ มีความสดใหม่ ไม่ต้องออกไปซื้อวัตถุดิบบ่อย ๆ ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย และยังช่วยบรรเทาปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
วิธีการเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ถ้าเราระลึกไว้เสมอว่าเรากำลังทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อลูกหลานและคนที่เรารัก และทำเพื่อโลกที่เราอาศัยอยู่ ถ้าเรามีความคิดที่ว่า เราสามารถช่วยโลกของเราได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมการซื้ออาหารของตัวเอง และมันจะนำมาสู่ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เป็นการส่งต่ออนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง มันก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเกินกำลังของเราทุกคนเลย
ขอบคุณที่มาข้อมูลบางส่วนจาก: ประชาชาติธุรกิจ บทความ ประเทศไทย ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล อันดับ 10 ของโลก





