ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์เรา เห็นได้อย่างชัดเจนก็ในเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการเกิดภัยพิบัติอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สาเหตุของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อนและโลกรวนนั้นก็มีอยู่หลายประการด้วยกัน แต่หนึ่งในนั้นก็คือการบริโภคเนื้อสัตว์และการทำอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ที่ทำให้เกิดก๊าชเรือนกระจกสูง (ก๊าซเรือนกระจกมีทั้งหมด 7 ชนิดด้วยกันคือ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ และกลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน แต่ที่คุ้นหูกันส่วนใหญ่ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน) หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินมาว่า กินเนื้อให้น้อยลงหรือไม่กินเนื้อเลยจะทำให้ช่วยโลกได้ เพราะอะไรกัน?
อันดับแรก การบริโภคเนื้อสัตว์ และการทำฟาร์มปศุสัตว์นั้นส่งผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ อย่างในประเทศไทย การผลิตเนื้อสัตว์ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก 22.42% ของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเกษตร โดยการเลี้ยงวัวจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นก๊าซมีเทนที่วัวเรอและผายลมออกมา รวมถึงการหมักในระบบย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง การจัดการมูลสัตว์ และอื่น ๆ ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนได้สูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า
นอกจากนี้ การทำฟาร์มปศุสัตว์ และการเลี้ยงสัตว์นั้นจำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ทั้งพื้นที่เลี้ยงสัตว์ และพื้นที่สำหรับปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งบ่อยครั้งมีการแผ้วถางป่า ตัดต้นไม้ทำลายป่าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น และการตัดไม้ทำลายป่ายังทำให้เกิดอุทกภัยอย่างน้ำท่วมหรือน้ำป่าไหลหลากอีกด้วย โดยการผลิตเนื้อวัวเพื่อให้มนุษย์บริโภคใช้พื้นที่มากกว่า 20 เท่าของการผลิตโปรตีนจากพืชตระกูลถั่ว และการปลูกพืชอื่น ๆ เพื่อการบริโภคโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องแผ้วถางป่า และไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น กระบวนการแปรรูป และการขนส่งเนื้อสัตว์ก็ทำให้เกิดคาร์บอนในปริมาณมากเช่นกัน อุตสาหกรรมปศุสัตว์นั้นใช้ทรัพยากรน้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาด้านพลังงาน จากสิ่งที่กล่าวมา จะเห็นว่าการทำอุตสาหกรรมปศุสัตว์เพื่อบริโภคนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เพื่อลดความต้องการด้านการผลิตเนื้อสัตว์ อันเป็นวิธีที่ทำให้เราสามารถรับมือกับภาวะโลกร้อนได้
“กินพืช” ช่วยลดโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน
จากการตระหนักถึงปัญหานี้ มีนักกิจกรรมหรือนักขับเคลื่อนทางด้านสิ่งแวดล้อมหลายคนหันมากินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง มีวิถีการกินแบบ Plant-based food หรือกินแบบ Vegan ซึ่งเป็นวิถีการกินที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกประเภท เรียกได้ว่าเป็น ‘มังสวิรัติแบบพืชล้วน’ ก็ว่าได้ วิถีนี้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ลง ทำให้อุตสาหกรรมปศุสัตว์เกิดขึ้นน้อยลง ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั้งในเรื่องของก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้ที่ดิน ลดการใช้น้ำ และลดการใช้พลังงานจากการขนส่ง ยิ่งไปกว่านั้นการบริโภคจากการเกษตรแบบยั่งยืน อินทรีย์ ออร์แกนิก ไม่ใช้สารเคมี เลือกกินตามฤดูกาล หรือวัตถุดิบในท้องที่เพื่อลดการขนส่ง ก็จะยิ่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
สำหรับใครที่เกรงว่าจะขาดโปรตีนจากการบริโภทแบบ Plant-based ความจริงแล้วโปรตีนจากพืชหลาย ๆ ชนิดก็มีสารอาหารครบถ้วน และมีปริมาณโปรตีนใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ อย่างเช่นโปรตีนจากถั่วเหลือง เต้าหู้ สาหร่าย และผักโปรตีนสูงที่มีอยู่หลายชนิด หากเรารู้จักคุณประโยชน์ของพืชพรรณให้มากขึ้น และเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องของสารอาหารที่ไม่เพียงพอ และสามารถมีสุขภาพที่ดีได้ แถมที่สำคัญยังดีต่อโลกของเราอีกด้วย
แม้ว่ามนุษย์เราจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน แต่ขณะเดียวกัน เราทุกคนก็มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ และเริ่มได้ง่าย ๆ จากการเลือกกินในแต่ละมื้อของเรา ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินตัวเลย แต่เป็นวิถีชีวิตของเราในทุก ๆ วัน ซึ่งถ้าสมาชิกในบ้านหลังใหญ่ที่เรียกว่าโลกของเราต่างมีส่วนร่วมไปด้วยกัน อนาคตของเรา และโลกที่ดีกว่าเดิม ก็อาจขึ้นอยู่กับจานอาหารของเราก็เป็นได้
ขอบคุณที่มาข้อมูลบางส่วนจาก UNDP Thailand: เมื่อโลกร้อนและรวน ภาคส่วนใดปล่อยก๊าชเรือนกระจกสูงสุด และ Greenpeace Thailand การกินเนื้อสัตว์ของเรา ทำให้โลกร้อนได้อย่างไร?





